
ศึก พรีเมียร์ลีก คู่หยุดโลกประจำนัดที่ 5 เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ 23 กันยายนที่ผ่านมา จบลงด้วยการที่ 2 ทีมลุ้นแชมป์อย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กับ อาร์เซน่อล เสมอกันไป 2-2 ทำให้ทั้ง 2 ทีมยังคงไม่แพ้ใครในฤดูกาลนี้ต่อไป
แมนฯ ซิตี้ ขึ้นนำก่อนตั้งแต่นาทีที่ 9 จากการหลุดไปยิงของ เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ ที่ทำประตูได้ 5 นัดติดต่อกันในลีก และถือเป็นนักเตะที่ใช้เวลาน้อยที่สุดในการยิงครบ 10 ประตูในพรีเมียร์ลีก 1 ฤดูกาล และถือเป็นการยิงให้ทีมเรือใบสีฟ้าครบ 100 ประตูรวมทุกรายการสำหรับดาวยิงทีมชาตินอร์เวย์ด้วย
เกมผ่านไปได้ไม่ทันถึงครึ่งทางของครึ่งแรก เจ้าบ้านก็มีข่าวร้าย เมื่อ โรดรี้ กองกลางตัวเก่งทีมชาติสเปนมีปัญหาบาดเจ็บเล่นต่อไม่ไหว ต้องโดนเปลี่ยนตัวออกให้ มาเตโอ โควาซิช ลงเล่นแทนในนาทีที่ 21
อาร์เซน่อล มาตีเสมอได้ในนาที 22 จากลูกยิงไกลสุดสวยของ ริคคาร์โด้ คาลาฟิออรี่ กองหลังตัวใหม่ทีมชาติอิตาลีที่ได้ลงตัวจริงในพรีเมียร์ลีกเป็นนัดแรก ก่อนจะแซงนำเป็น 2-1 ก่อนหมดครึ่งแรก เมื่อ บูคาโย่ ซาก้า เปิดลูกเตะมุมจากฝั่งขวาให้ กาเบรียล มากัลเญส โขกเต็มๆ เข้าไป
ช่วงทดเวลาบาดเจ็บครึ่งแรก ทีมปืนใหญ่ต้องเหลือผู้เล่นแค่ 10 คน เมื่อ เลอันโดร ทรอสซาร์ โดนใบเหลืองที่ 2 ข้อหาเตะบอลทิ้งเพื่อถ่วงเวลา นั่นทำให้ มิเกล อาร์เตต้า ตัดสินใจถอดตัวรุกอย่าง บูคาโย่ ซาก้า ออกจากสนามตั้งแต่ช่วงพักครึ่ง แล้วส่งกองหลังอย่าง เบน ไวท์ ลงไปเน้นป้องกันสกอร์นำเต็มตัว
อาร์เซน่อล ที่เหลือผู้เล่นน้อยกว่า สามารถต้านทานเกมบุกของ แมนฯ ซิตี้ ได้ทุกรูปแบบในครึ่งหลัง โดย ดาบิด ราย่า ออกแรงเซฟอุตลุดรวมกันถึง 9 ครั้ง ทำให้พวกเขาทำท่าว่าจะเก็บ 3 แต้มเต็มกลับออกไปได้อยู่แล้ว แต่ช่วงทดเวลาบาดเจ็บนาทีสุดท้าย (90+8) จอห์น สโตนส์ ที่ลงมาเป็นตัวสำรองในครึ่งหลังมายิงตีเสมอได้อีก
จบเกมทั้ง 2 ทีมเสมอกัน 2-2 ทำให้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ยังรักษาตำแหน่งจ่าฝูงไว้ได้ต่อไป แถมยังยืดสถิติไม่แพ้ใครในพรีเมียร์ลีกเป็นนัดที่ 28 ติดต่อกันเข้าไปแล้ว และหากนับเฉพาะเกมลีกที่ เอติฮัด สเตเดี้ยม ทีมเรือใบสีฟ้าก็ไร้พ่ายคาบ้านมานานถึง 33 นัดติดต่อกัน
ส่วนทีมปืนใหญ่ก็ถือว่ายังรักษามาตรฐานสุดยอด ยังไม่แพ้ใครเช่นกันตั้งแต่ซีซั่นนี้เปิดฉาก และไม่แพ้เกมเยือนในพรีเมียร์ลีกเลยตั้งแต่ขึ้นปี 2024 เป็นต้นมา ซึ่งเกมนี้ทำได้เป็นนัดที่ 12 ติดต่อกันเข้าไปแล้ว